ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

แก้เล่นลิ้น

๑o ก.พ. ๒๕๖๑

แก้เล่นลิ้น

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่)ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

เรื่อง “ขอพร” คำว่า “ขอพรๆ” เราเคยสั่งไว้แล้วว่าไม่ควรจะเขียนคำถามมา เวลามาครั้งที่แล้วว่าจะขอมาพบ เราก็ไม่ให้พบ เราไม่ให้พบเพราะว่าเราได้คุยกันแล้วไง เราได้คุยกันแล้ว เราได้ตอบปัญหาไปเยอะมาก คำว่า “ตอบปัญหาไปเยอะมาก”

เวลาคนถามปัญหา ปัญหาถ้าเราได้ตอบแล้ว มันก็เหมือนกับเราได้คุยกันแล้ว ถ้าได้คุยกันแล้ว ถ้าทำตามนั้น สัจธรรมๆ มันก็เป็นตามนั้น ถ้าไม่ได้ทำตามนั้นมันก็แบบว่าต่อล้อต่อเถียง มันเป็นการต่อล้อต่อเถียง เอาแพ้เอาชนะ มันไร้สาระ

ถ้ามันไร้สาระ ถึงบอกว่า จะตอบคำนี้อีกครั้งหนึ่ง แล้วถ้าคราวหน้าเขียนมาจะไม่ตอบเหมือนเดิม จะไม่ตอบเหมือนเดิม แต่ที่เขียนมาคราวนี้แบบว่ามันน่าเห็นใจนิดหนึ่งที่เขาบอกว่ามันจะเป็นเวรเป็นกรรมกันต่อเนื่องไปไง มันควรจะจบกันที่นี่

ฉะนั้น คำถามเนาะ

ถาม : เรื่อง “ขอพร”

กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพเป็นอย่างสูงค่ะ สวัสดีปีใหม่ค่ะ ลูกขออวยพรให้หลวงพ่อมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงนะคะ ตอนนี้ลูกรู้สึกสบายใจดี ดีขึ้นแล้ว ลูกแค่ต้องการกราบขอขมาหลวงพ่อสำหรับปีที่ผ่านๆ มาเท่านั้นค่ะ ถ้ากรรมใดที่ลูกทำผิดพลาดไป ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม (ลูกเข้าใจว่าลูกทำผิดหมดค่ะ) ลูกเสียใจมาก ลูกไม่มีเจตนาค่ะ ขอความเมตตาหลวงพ่อช่วยงดโทษล่วงเกินอันนั้นด้วยค่ะ ลูกต้องขอโทษทุกคนด้วยนะคะ ลูกไม่ได้ศึกษามาก่อน ลูกไม่มีความรู้อะไรเลยค่ะ ลูกอยากจะก้าวเดินต่อไป ไม่อยากจะมีอะไรคั่งค้างในใจ ลูกจึงขอกราบขมามา ณ ที่นี้ด้วย กราบขอบพระคุณค่ะ ลงชื่อเขานะ

ตอบ : ไอ้สิ่งที่คั่งค้างๆ สิ่งที่คั่งค้าง สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผลของวัฏฏะๆ คนเกิดมาแล้วผลของวัฏฏะ เราจะมาเจอกันนะ เหมือนวัฏฏะไง เหมือนขยะ เวลาผ่านมามันลอยตามน้ำมา มันมาเจอกัน แล้วมันก็จะแยกจากกันไป

มันมาพบกัน ผลของวัฏฏะ การเกิดการตาย เราเกิดมาภพชาติหนึ่งแล้วเราก็มาเจอกัน เสร็จแล้วเราก็ต้องตายพลัดพรากจากกันไป เวลาตายพลัดพรากจากกันไป ต่างคนต่างเกิด เวลามาพบมาเจอกัน เวลามาพบมาเจอกัน เวลาตายแล้วเราก็ต้องพลัดพรากจากกันไป ฉะนั้น สิ่งที่เป็นสัจจะ มันเป็นสัจจะอย่างนั้น ถ้าเป็นสัจจะอย่างนั้น นี่ผลของวัฏฏะๆ ไง

การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ สิ่งที่เรามาเจอกันแล้ว ถ้าเราทำสิ่งใดเป็นบุญกุศลร่วมกันเป็นสิ่งใดมันก็เป็นบุญกุศล มันเป็นสายบุญสายกรรมร่วมกันไป ถ้ามันเป็นความผิดพลาด เป็นความกระทบกระเทือนกัน มันก็เป็นบาปอกุศลที่ฝังใจกันไป นั่นพูดถึงผลของวัฏฏะๆ ไง

ฉะนั้น ผลของวัฏฏะ เวลาเราเกิดมาแล้วมาพบกัน เรามาเจอกัน หลวงพ่อก็ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราก็ต้องตายไปข้างหน้า โยมก็ต้องเกิดมาแล้วมีครอบมีครัว มีสถานะทางสังคม มีต่างๆ โยมก็ต้องดำรงชีวิตไปจนกว่าโยมจะหมดอายุขัยไป พอหมดอายุขัยไปก็ต่างคนต่างไปไง

ทีนี้ต่างคนต่างไป เวลามีชีวิตอยู่ เรามาพบกัน เวลามาพบกัน เขามาอ่านในเว็บไซต์แล้วเขาติดใจเขาก็ถามปัญหามา เราก็ตอบปัญหาของเขามาเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นไป แต่ปัญหามันถามแล้วถามเล่า ถามแต่ซ้ำๆ ซากๆ ไง ถ้าซ้ำๆ ซากๆ เวลาตอบอย่างหนึ่งก็ไปอีกอย่างหนึ่ง ตอบอย่างหนึ่งก็ไปอีกอย่างหนึ่ง ตอบจนแบบว่าเหมือนกับคนพูดกันไม่รู้เรื่อง

ถ้าคนพูดรู้เรื่องนะ สัจจะก็เป็นสัจจะนะ สัจจะเป็นสัจจะ ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก ถ้าผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก เราพูดเทศนาว่าการกันไปแล้ว ได้ตอบปัญหาไปแล้ว ก็แก้ไขดัดแปลงให้เป็นตามนั้น ถ้าแก้ไขดัดแปลงไปตามนั้นแล้ว ถ้ามันทำเสร็จตามนั้นแล้วมันไม่มีผล มันไม่เป็นความจริง ก็พูดมาสิว่ามันไม่มีผล ไม่เป็นความจริงอย่างไร

ไอ้นี่ไม่อย่างนั้นน่ะ ชักเข้าชักออก ชักเข้าชักออกอยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วเหมือนกับเอาแพ้เอาชนะกันน่ะ มันมาพูดกันแบบว่ามันไร้สาระ

นี่เขาบอกว่าเขาผิด เขาว่าเขายอมรับผิด สิ่งที่ผิดพลาดไปแล้ว ผิดพลาดไปแล้ว สิ่งที่ผิดพลาดไปแล้วก็ผิดพลาดไปแล้วใช่ไหม แล้วสิ่งที่มีอะไรค้างคาใจ ไม่อยากให้มีค้างคาใจกันไป

ไอ้ตรงนี้ ที่อยากจะพูดก็พูดตรงนี้ ไอ้ที่ว่าจะพูดอยู่วันนี้ก็แค่นี้แหละ แค่ว่า ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะมีสิ่งที่ค้างคาใจกันไป เรามาพบกัน เรามาทำสิ่งใดแล้วมันเป็นเวรเป็นกรรมต่อไป

อโหสินะ เราไม่มี อย่างที่ว่า เราไม่ได้ผูกเจ็บใครทั้งสิ้นนะ เพราะอะไร เพราะว่าเราก็มาเพื่อจะแก้ไขเราเหมือนกัน ถ้าเราจะมาแก้ไขสิ่งใด ถ้าสิ่งที่ไม่ดีงามเราก็จะทำให้มันดีขึ้นมา จะทำให้มันดีงามขึ้นมา สิ่งใดที่มันผิดพลาดไปก็ขออภัยต่อกัน นี่เป็นลูกศิษย์เป็นอาจารย์กันมา มหาปวารณาวันออกพรรษาแล้วเขาก็ปวารณากันไป ถ้ามีสิ่งใดผิดพลาดกันก็ให้เตือนกันให้บอกกัน นี่มันก็จบกันไป นี่มันก็จบกันไปใช่ไหม ทีนี้จบกันไป

ทีนี้เวลาที่ตอบปัญหาไป ภาษาเรานะ คนมีสัตย์ คำไหนคำนั้น พูดคำเดียว พูดเสร็จแล้วก็คือว่าเสร็จ นี่ก็เหมือนกัน เวลาพูดแล้วก็แล้วกันไป จบก็คือจบไปแล้ว เป็นสัตย์นะ นี่คืนคำ กลืนน้ำลายตัวเอง คำว่า “กลืนน้ำลายตัวเอง”

นิสัยเราเป็นแบบนี้ พูดคำไหนคำนั้น แล้วพอพูดไปแล้ว พูดแล้วก็ชักเข้าชักออก ชักเข้าชักออก มันน่าเบื่อหน่าย พอมันน่าเบื่อหน่ายนะ ภาษาเราว่ามันเสียเวลา มันเสียเวลา เสียเวลาที่เราจะตอบปัญหาคนอื่น เสียเวลาที่เราจะมาพูดคุยกับคนอื่น

ถ้ามันเป็นการเสียเวลา เป็นการพร่ำเพ้อ เราจะบอกว่า ภาษาโลกนะ มันแค่พูดกันแค่ปาก มันไร้สาระ พอไร้สาระแล้ว แล้วพูดย้ำแล้วย้ำเล่ามันก็ยังย้ำอยู่อย่างนั้นน่ะ มันก็พลิกไปพลิกมาอยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วมันเสียเวลาเราเปล่าๆ เราถึงได้ให้มันจบกันไป

แต่ถ้าบอกว่า สิ่งใดที่มันค้างคาใจกัน ขอขมาลาโทษ

เราไม่ถือโทษตั้งแต่ต้น ว่าอย่างนั้นเลย ถ้าเราถือโทษนะ เราจะมาเปิดเว็บไซต์ไม่ได้ การเปิดเว็บไซต์นี้เขาวางแผนนะ เปิดเว็บไซต์เอาแบบหลวงตา ถ้าใครมีทุกข์ ใครมีความไม่เข้าใจสิ่งใดในศาสนา ให้ถามเข้ามาได้

แต่จะมาระบายอารมณ์ใส่เว็บไซต์เราไม่ได้ เราถึงแบบว่าไม่มีการโต้ตอบ ถ้าเขียนปัญหามา เราก็ตอบปัญหานั้นไป วางแผนไว้แล้วว่าไม่ให้มันกระทบกระเทือนกัน ไม่ให้มาถากมาถางกัน

เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลยนะ คนเกิดมาถือขวานกันมาคนละเล่มคือปาก ถากกันไปก็ถากกันมา

ถ้าเราจะมาถากกันแล้วไม่ต้องถาก แต่ถ้ามีปัญหาอะไรถามเข้ามา แล้วถ้ามันเป็นธรรม เราจะตอบไป เราตอบไปเพราะว่าเวลาเราบวชใหม่ๆ เราแสวงหาครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ตอบผิดตอบถูก ตอบโดยความเข้าใจของเขา

ไอ้เราบวชใหม่ๆ เราก็เชื่อนะ ปฏิบัติไปหลงใหลไปกับเขา ผิดพลาดไปกับเขา จนกว่าพอเจอหลวงปู่จวน “สิ่งที่ว่ามันสงบๆ มา อวิชชาอย่างหยาบๆ คือความฟุ้งซ่านของพวกเรามันแค่สงบตัวลง อวิชชาอย่างกลางท่านยังไม่เห็นมันเลย อวิชชาอย่างละเอียดในใจของท่านอีกมหาศาลเลย”

เออ! จริง จริง ตั้งแต่นั้นมาก็อยู่ที่นั่นปักหลัก แล้วเอาจริงเอาจังกับท่าน เพราะว่าอะไร เพราะคนคอยตอบคอยบอกมันมี ควาญประจำช้าง ในเมื่อช้างมันมีควาญคอยฝึกหัดแล้วมันก็ติดควาญนั้น แต่พอเครื่องบินตก เราก็หันหัวเข้าบ้านตาดเลย

เพราะมันเคยผิดพลาดมามาก เคยผิดพลาดมามาก แล้วไอ้ควาญช้างที่มันไม่เป็นมันพยายามจะเอาช้างไปเที่ยวเป็นช้างเร่ร่อนหาแต่ผลประโยชน์ของมัน ไอ้เราก็เป็นช้างแบบนั้น โดนเขาชักนำไป เลี้ยงอ้อยๆ จะกินมันก็คอยเอาเหล็กแหลมทิ่มแทง โฮ้! มันทุกข์ สภาพแบบนั้นน่ะ เจอสภาพแบบนั้นมา

ฉะนั้น ในปัจจุบันนี้ที่มาตอบปัญหาอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะสภาพอันนั้นน่ะมันฝังใจ ไปไหนมา สามวาสองศอก ถามอย่างหนึ่งก็ตอบไปอีกอย่างหนึ่ง แล้วไอ้คนไม่เป็นมันก็อะไรเป็นวุฒิภาวะไปวัดไม่ได้ มันก็เชื่อตามๆ กันไป

ไอ้เรานี่มาพูดๆ อยู่นี่ เราก็พยายามวางแผนไว้เลย เว็บไซต์ ถ้าใครอ่านแล้วมีสิ่งใดเป็นประโยชน์ สาธุ ถ้าใครอ่านแล้วขัดหูขัดตา ไม่เป็นประโยชน์กับใคร ก็ให้ผ่านไป นี่ไง ทำประโยชน์กับโลกไง นี่วางแผนมาอย่างดี

แล้วพอมาตอบปัญหานี้ มันถามไปถามมาซ้ำๆ ซากๆ

บอกสิ่งใดก็แล้วแต่ เราก็ทำตามนั้นสิ ถ้าทำแล้วมันไม่ประสบความสำเร็จหรือทำแล้วมันผิดพลาดก็เขียนมาติเตียนได้เลย หลวงพ่อบอกอย่างนี้ๆๆ แล้วมันไม่เป็นอย่างนี้ๆๆ ก็ว่ากันมาตามนั้น ก็พูดมาสิว่าเวลาทำแล้วมันผิดอย่างไร

มันไม่อย่างนั้นน่ะ โอ้โฮ! มันน้ำท่วมทุ่งอะไรก็ไม่รู้ ก็เลยให้มันจบกันไป เห็นไหม

แล้วเวลาทำสิ่งใดไป เราถึงวางแผนไว้แล้วเพื่อจะมาช่วยโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ เพื่อประโยชน์ ถ้าเป็นโทษไม่เอา เวลาคนนู้นคนนี้มา เข้ามาศึกษาแล้ว เข้ามาดูแลแล้วก็อยากจะช่วยเหลือ ขอเลขบัญชี จะไปเปิดบัญชีเพื่อเรี่ยไรมาช่วยเหลือ

ไม่ต้องๆๆ เราบอกแล้ว เราหาเรื่องเอง เราต้องรับผิดชอบเอง ไม่ต้องมายุ่ง ไม่ให้ใครเข้ามายุ่งทั้งนั้นน่ะ เพราะเพื่อประโยชน์กับโลกไง ทีนี้ประโยชน์กับโลก นี่คำถามไง

ฉะนั้นบอกว่า “ถ้าสิ่งใดที่ผิดพลาด ลูกเข้าใจผิดไปก็ให้จบกันไป เสียใจมาก ไม่มีเจตนา ขอความเมตตาหลวงพ่อช่วยงดโทษให้”

ตั้งแต่ลงมาเปิดเว็บไซต์ก็รู้อยู่แล้วว่ามันจะมีปัญหาอะไร แล้วถ้ามีปัญหาอะไรไปแล้ว เราไม่ต้องการพบปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น ปัญหาของโลกก็ให้โลกเขาแก้ไขกันไป ปัญหาของธรรม ใครประพฤติปฏิบัติแล้วมีความไม่เข้าใจ มีความติดขัดอย่างใดให้ถามมา

แล้วถ้าเราตอบไปแล้ว เราตอบแล้วมันผิดพลาด ครูบาอาจารย์ในประเทศไทย ครูบาอาจารย์ในโลกนี้มีเยอะแยะ เวลาตอบไปมันเป็นสาธารณะ ใครก็เห็นได้ทั้งนั้นน่ะ เอามาวิเคราะห์วิจัยได้ ถ้ามันผิด มันไม่ถูกต้องอย่างใดก็ว่ากันไปตามนั้น

แต่ถ้ามันถูกต้องหรือว่ามันตอบไปแล้วเรายังทำไม่ได้ ก็พยายามจะฝึกหัดปฏิบัติให้มันได้ผลตามนั้น เพราะผลตามนั้นมันเหมือนกับยาทางเคมี เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยเขาให้ยาแล้ว ยาทางเคมีนั้นมันก็จะไปให้ผลกับกิเลส ไปให้ผลกับความเศร้าใจอันนั้น ถ้ามันทำแล้วมันมีผลข้างเคียงอะไรก็บอกมา ถ้าถามปัญหาอย่างนี้เราพอใจมากนะ

ไอ้นี่มันน้ำท่วมทุ่งอะไรร้อยแปดไปเลยล่ะ กลายเป็นศิราณีตอบปัญหาหัวใจอย่างนั้นน่ะ โอ๋ย! ไม่ใช่ ไอ้นี่ไม่ใช่ศิราณีนะ ไอ้นี่เขาตอบปัญหาธรรมะ ปัญหาหัวใจไม่ต้องเอามาถาม ปัญหาหัวใจมันเรื่องกิเลสทั้งนั้นน่ะ แล้วมันจบกันไปแล้ว ถ้าจบไปแล้วก็คือจบ

ที่พูดวันนี้เพราะต้องการบอกว่า เขาบอกว่าไม่อยากให้มันมีอะไรค้างคาในใจของเขา

เราจะบอกว่า สพฺเพ สตฺตานะ เราเป็นมนุษย์ เราเป็นสัตว์มีชีวิตเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขๆ เถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย เราไม่เบียดเบียนใครทั้งสิ้น

แต่เวลาตอบปัญหาธรรมะ ถ้าใครยึดมั่นถือมั่นในความรู้ความเห็นของเขามันอาจสะเทือนใจเขาบ้าง อันนั้นก็ขออภัย เพราะเราก็พูดโดยสัจจะ เราเชื่อของเราอย่างนี้ เราพูดตามสัจจะความจริงอย่างนี้ ถ้ามันไปกระทบกระเทือนหัวใจใครบ้าง อันนั้นก็ขออภัย

แต่สิ่งที่ว่า สพฺเพ สตฺตา เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขๆ เถิด อย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย เราไม่มีสิ่งใดที่จะมาผูกใจเจ็บมาตั้งแต่ต้น ถ้ามันมีสิ่งใดผูกใจเจ็บ เราไม่ต้องเปิดเว็บไซต์ เราอยู่โคนต้นไม้เฉยๆ เราก็ไม่มีอะไรกระทบกระเทือน แต่นี่เราทำของเราแล้ว

ไม่มี ให้อภัยกันทั้งสิ้น เราให้อภัยทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดผูกอาฆาตมาดร้ายใครทั้งสิ้น เราออกมาหาเรื่องเอง ถ้าเราจะสะดุดล้มเองบ้าง มันก็คงจะไปใส่ยาแดงแผลถลอกปอกเปิกของเราเองได้ ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหานะ

เราจะบอกว่า ผู้ถามให้สบายใจได้ ไม่มีสิ่งใดจองเวรจองกรรมต่อกัน ไม่มี สะอาดบริสุทธิ์ แล้วจะตอบอันนี้เป็นอันสุดท้าย แล้วไม่ต้องเขียนมาอีกเนาะ ไม่เอา เพราะโดยสัตย์ มันเป็นสัตย์ว่าจบคือจบ แล้วถ้ามันจะมาอีกมันก็ต้องไป ภาษาเราว่า กวนน้ำให้ขุ่นอยู่นั่นน่ะ ไม่เป็นประโยชน์หรอก

ฉะนั้น ไอ้เรื่องที่ว่าจะผูกใจเจ็บ ไอ้พวกที่ว่ามันตกค้างในใจ เลิกแล้วต่อกัน ไม่มีสิ่งใดผูกพันต่อกัน ถ้าจะมีก็มีแต่คุณงามความดี มีก็แบบว่า เราเป็นมนุษย์ด้วยกัน เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนาด้วยกัน พระพุทธเจ้าฝากธรรมวินัยไว้กับบริษัท ๔ ด้วยกัน เราเป็นชาวพุทธด้วยกัน ต่างคนต่างแสวงหาความดีของตัวเองเนาะ ในเมื่อเราคุยกันแล้วไม่เข้าใจต่อกัน จบ

ถาม : เรื่อง “การบริจาคสร้างอาคารปฏิบัติธรรม”

กราบนมัสการหลวงพ่อด้วยความเคารพอย่างสูงเจ้าค่ะ หนูมีคำถามเพื่อขอเมตตาหลวงพ่อตอบดังนี้ค่ะ

เมื่อเราถวายปัจจัยเพื่อสร้างอาคารปฏิบัติธรรมในวัดแห่งหนึ่งแล้ว แต่วัดกลับชะลอไม่ลงมือสร้าง ด้วยเหตุผลว่าจะเป็นภาระในการดูแล ทั้งๆ ที่ตอนแรกพระรูปหนึ่งที่เป็นหัวหน้านำสร้างได้กราบเรียนขออนุญาตเรียบร้อยแล้ว โยมจึงอยากทราบว่า เมื่อเราจบปัจจัยอธิษฐานจิตแล้ว แต่การณ์กลับเป็นเช่นนี้ จะส่งผลเป็นอย่างไรคะ ขอบพระคุณค่ะ

ตอบ : จะส่งผลเป็นว่าไม่ได้สร้างสิคะ สิ่งที่มันไม่ได้สร้างแล้วมันก็จบไปแล้วสิคะ

นี่ไง เวลาที่ว่าเป็นสัจจะเป็นความจริงนะ ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริง อริยสัจเป็นอริยสัจ สัจจะเป็นสัจจะ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านไม่เคยได้สร้างสิ่งใดเลย

เราอยู่กับหลวงตานะ หลวงตาเวลาท่านพูด ท่านพูดด้วยความภูมิใจ “เรายังระลึกไม่ได้เลยว่าเราไปสร้างถาวรวัตถุไว้ที่ใดบ้าง ไม่มี”

หลวงตาท่านไม่สร้างถาวรวัตถุเลย ท่านไม่ทำเลย แต่เวลาหลวงตาท่านทำนะ ท่านทำท่านพยายามกระหนาบ ท่านพยายามให้พระประพฤติปฏิบัตินะ

เวลาพระลาท่านออกไปวิเวก เวลาออกไปวิเวก ออกไปประพฤติปฏิบัติ เวลากลับมาท่านจะถามเลย ได้อะไรมาๆ ได้ยาฝิ่นมาหรือได้สัจธรรมมา

ใครอยู่ที่บ้านตาด เวลาลาท่านไปวิเวกนะ เวลากลับมา ตอนนั้นน่ะหนาวที่สุด ท่านจะถามว่า ไปที่ไหนมา ไปป่าไหนมา ไปเขาไหนมา

แต่ถ้าเราไม่ได้ไป เราก็ไปเทศบาล ๑ เทศบาล ๒ มา ท่านบอกว่า ถ้าไปเทศบาล ๑ เทศบาล ๒ คือเข้าไปคลุกคลี เข้าไปในสังคม มันจะได้ยาเสพติดมา

ยาเสพติดคือหัวใจมันไปเสพติด หัวใจมันไปรู้ไปเห็นสิ่งใดแล้ว เราจะไปละกิเลส กลับไปเพิ่มกิเลสนะ เราอยากจะเป็นนักธุรกิจ เราอยากไปรู้ไปเห็นต่างๆ มันไปสะสมสิ่งนั้นมา สิ่งนั้นมันเป็นอะไร ในทางศาสนาบอกนั่นน่ะเป็นยาเสพติด

แต่ถ้าเวลาไปวิเวกมานะ เข้าไปป่านั้นไปเขานั้น ไปภาวนาแล้วจิตมันสงบอย่างนั้น มันฝึกหัดใช้ปัญญาอย่างนั้น มันทำอย่างนั้น ท่านบอก เออ!

นี่ออกไปวิเวกได้ยาเสพติดมาหรือได้คุณธรรมมา

ถ้าได้คุณธรรมมา นี่เวลาท่านเน้น ท่านเน้นตรงนี้ไง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านไม่เน้นการก่อสร้าง ไม่เน้น เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ที่ไหนก็ได้ ที่ไหนก็ได้ ยิ่งที่ไม่ต้องไปคอยดูแล โคนไม้ต่างๆ นั่นมันเป็นประโยชน์มาก นี่พูดถึงว่าถ้าเป็นกรรมฐานจริงๆ นะ

แต่นี่ไม่อย่างนั้นน่ะสิ พอนี่ไม่อย่างนั้น เขาบอกว่า ถวายปัจจัยไปแล้วสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรม พอไปสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมแล้ว โอ้โฮ! ตั้งใจนะ พวกเรามานั่งกันอยู่นี่ เราจะมาร่วมเงินกันจะมาสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรม แล้วเอาเงินรวมกัน พอรวมกันเสร็จแล้วก็จะมาเขียนแปลนกัน พอเขียนแปลนก็เริ่มทะเลาะกันแล้ว เฮ้ย! ต้องนั่งอย่างนี้ เฮ้ย! ต้องปฏิบัติอย่างนั้น แล้วเวลาไปก่อสร้างก็ทะเลาะกันอีกรอบหนึ่ง พอเสร็จแล้วนะ ก็จะทะเลาะกันอีกรอบหนึ่ง

นี่ไง เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติเราก็ห่วงไปหมดเลย ห่วงความสะดวก ห่วงปฏิบัติแล้วมันจะปฏิบัติไม่ได้ ถ้าปฏิบัติแล้วมันต้องนั่งระยะห่างกันประมาณห้าเมตร ไอ้ข้างหน้าก็เข้ามาข้างหลังไม่ได้ โอ้โฮ! มันวางแผนไว้หมดเลยนะ สร้างกันเสียอย่างดีเลยนะ เวลาไปนั่งสองนาทีทะเลาะกันแล้ว นั่งไม่ได้

ครูบาอาจารย์ท่านถึงพูดไง หลวงตาท่านพูดบ่อยมาก เวลาเริ่มต้นก็ทำแก้รำคาญ เวลาเราจะปฏิบัติ อยู่คนเดียวมันก็คิดมาก คิดมากก็หาเรื่องคิด ทำแก้รำคาญ พอทำไปๆ นะ พอมันติด ทีนี้ไม่ทำจะรำคาญแล้ว

ทีแรกก็ทำเพื่อแก้รำคาญนะ แบบว่างานอดิเรกไง ทีแรกก็ทำเป็นงานอดิเรก พอทำไปทำมาเป็นงานจริงแล้ว ไอ้การภาวนาจะเป็นงานจริงเลยกลายเป็นงานอดิเรกไง งานจริงก็เลยเป็นงานก่อสร้างไง

การก่อสร้าง อู๋ย! สถานที่ปฏิบัติธรรมนะ สร้างไว้ปฏิบัติธรรมนะ อู้ฮู! ได้บุญมหาศาลเลย โอ๋ย! สร้างแล้วถ้าใครมาปฏิบัติเป็นพระอรหันต์สักองค์หนึ่งนะ โอ้โฮ! เราจะได้บุญมหาศาลเลย โอ้โฮ! คิดไปนู่นเลยนะ แล้วพอทำเสร็จแล้วมันทะเลาะกันบ้านแตกสาแหรกขาด ไม่รู้ว่าพระอรหันต์สักองค์ก็ไม่ได้ แล้วพวกมันก็อกจะแตก อกจะระเบิด

นี่เริ่มต้น เห็นไหม แต่หลวงปู่มั่นท่านเริ่มต้นมาเลย จากบวชแล้วเราเข้าป่าเข้าเขาไป เราจะประพฤติปฏิบัติตามมีตามได้ ที่ไหนมันมีอย่างใดเราก็ทำอย่างนั้น เวลาตอนท่านไปอยู่กับมูเซอ เวลาเขาเข้าใจผิด

เดินจงกรมตั้งแต่ในป่า รากไม้ทั้งนั้นเลย เดินจนเรียบ สุดท้ายแล้วพอพวกมูเซอมันลงใจแล้ว “อู้ฮู! ตุ๊ ตุ๊อยู่ได้อย่างไร อยู่ได้อย่างไร มาเดินได้อย่างไร เดินได้อย่างไร” นี่เวลาเขามาเห็น

ขอให้เราทำจริงทำจังเถิด ขอให้เราปฏิบัติจริงเถิด แล้วสิ่งที่มันอำนวยความสะดวกมันจะตามมาเอง แต่นี่ยังไม่ทำสิ่งใดเลย จะสร้างแต่สิ่งอำนวยความสะดวกไว้เพื่อจะปฏิบัติ

ทุกคนนะ ก่อนมันจะปฏิบัติมันจะต้องสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกก่อน แล้วพอมันจะไปสร้างแล้วมันก็สร้างยังไม่เสร็จเลย มันทะเลาะกันยังไม่เลิกนู่นน่ะ

อันนี้พูดถึง ถ้าครูบาอาจารย์ถ้าท่านมีสายตาไกลเสียหน่อยหนึ่ง ไอ้เรื่องการก่อสร้างๆ ที่ไหนก็ได้ ปฏิบัติไป ไอ้ที่มันจะสร้างได้ มันจะสร้างได้มันก็ต้องแบบว่า บอกว่ามีหลักหน่อยหนึ่งน่ะ ถ้าไม่มีหลักแล้ว

การก่อสร้าง หลวงตาท่านสอนนะ การก่อสร้าง การคลุกคลี เป็นศัตรูของการปฏิบัติ เป็นตรงข้ามกับการปฏิบัติ การปฏิบัติเพื่อความสงบความระงับ การก่อสร้าง การคลุกคลี การพูดคุยเป็นศัตรูของการปฏิบัติทั้งนั้น ก่อนที่เราจะปฏิบัติ เราไปสร้างศัตรูกับการปฏิบัติก่อน แล้วค่อยมาปฏิบัติ

แต่ครูบาอาจารย์ของเรา ท่านปฏิบัติฆ่ากิเลสก่อน ท่านไม่ไปเอาศัตรู เอาสิ่งที่มาทำลายการปฏิบัติเอามาเป็นเนื้อเป็นน้ำก่อน

ไอ้ของเราเริ่มต้นอยากจะปฏิบัติ จะสร้างอาคารปฏิบัติธรรม เริ่มต้น เริ่มต้นก็ไปสร้างไปทำแต่เรื่องที่เป็นสิ่งตรงข้ามกับการปฏิบัติ แล้วก็ยังอ้างว่าจะเป็นการปฏิบัติ สังคมเป็นกันแบบนี้ เพราะอะไร เพราะวุฒิภาวะของสังคมมันไม่มี

แต่ถ้าวุฒิภาวะของสังคมมี เราอยู่กับครูบาอาจารย์มา ครูบาอาจารย์ท่านเตือนประจำ ท่านเตือน ท่านคอยตรวจคอยสอบ แล้วถ้าพระหรือใครมีความรู้สึกนึกคิดอย่างนั้น ท่านบอกพวกพระพวกนี้มีแววนะ มีแววเสียหายหมด มีแววออกนอกทางหมด เพราะอะไร

เพราะเริ่มต้น เริ่มต้นก็ทำเพื่อแก้รำคาญ พอทำไปๆ ไม่ทำ รำคาญนะ พอไม่ทำ รำคาญ ทีนี้เดือดร้อนโยมแล้วแหละ “โยมก็มีน้ำใจจะมาปฏิบัติใช่ไหม แต่ถ้ามาปฏิบัติ เราก็มีโครงการจะสร้างที่ปฏิบัติน่ะ เดือดร้อนกันหมดเลย”

อ้าว! ก็อยากเข้ามาปฏิบัติ แล้วเขามีโครงการจะสร้างอาคารปฏิบัติ เราจะทำอย่างไร ก็เดือดร้อนกันไปหมดน่ะ ถ้าหัวหน้าไม่มีกึ๋นมันจะพาลูกน้องเดือดร้อนหมด

ถ้าหัวหน้ามีกึ๋นนะ พยายามจะให้เรียบง่าย การปฏิบัติที่ไหนก็ได้ คนเราเกิดมามีชีวิตนะ เวลาเน้น เน้นย้ำหัวใจ หัวใจมันทำที่ไหนก็ได้

เวลาเราพูดนะ เมื่อก่อนเราอยู่ในป่า เวลาฝนมันตก เราเดินชายคา เราก็ว่าเราชมตัวเองนะว่าสุดยอด เวลามาอ่านประวัติหลวงปู่หลุย ชิดซ้ายเลย ท่านเดินจงกรมในกลดน่ะ กลดที่แขวนไว้ หลวงปู่หลุยเดินจงกรมได้

ฟังครูบาอาจารย์สิ เวลาหลวงปู่ชอบ เมืองเลย หน้าหนาวเป็นน้ำแข็งนะ มันอ้างเล่ห์จะไม่ปฏิบัติ ไปนั่งแช่ในตุ่มเลย

ครูบาอาจารย์ของเราปฏิบัติมาแต่ละองค์นะ ตรงข้ามกับกิเลส ไม่ชอบสิ่งใด ทำอย่างนั้น ถ้าชอบ ไม่ทำ ถ้าทำอย่างนั้นแล้ว มันถึงเหลือมาเป็นครูบาอาจารย์ของเราไง

แล้วในปัจจุบันนี้มีสภาพแบบนี้ มันจะเหลืออะไร

หลวงตาท่านพูด “ปฏิบัติพอเป็นพิธี”

เห็นครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติแล้วมีชื่อเสียง เราก็จะปฏิบัติบ้าง เวลาปฏิบัติบ้างก็นี่ไง เริ่มต้นยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ มีปัญหาแล้ว นี่ปัญหาการก่อสร้างอาคารปฏิบัตินะ ไม่ใช่การปฏิบัตินะ ยังไม่ได้ปฏิบัติเลย แล้วถ้าปฏิบัติล่ะ

“ถ้าเราถวายปัจจัยเพื่อการก่อสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมในวัดแห่งหนึ่ง แล้วทางวัดกลับชะลอการลงมือก่อสร้าง ให้เหตุผลว่ามันเป็นภาระการดูแล ทั้งที่ตอนแรกพระรูปหนึ่งเป็นหัวหน้า”

ถ้าเวลาเป็นภาระดูแล มันก็รู้ว่าเป็นภาระอยู่แล้ว แล้วเริ่มต้นเราเริ่มต้นมาแล้ว พอเริ่มต้นมาแล้ว เขาร่วมมือมาแล้ว พอร่วมมือมาแล้วไม่ได้สร้าง ไม่ได้สร้างก็คุยกันให้มันจบสิ้นไป

แต่ทีนี้คำถามนะ เขาบอกว่า “แล้วถ้าเราจบปัจจัยอธิษฐานจิตแล้ว แต่กลับไม่ทำเช่นนั้น มันจะส่งผลหรือไม่อย่างไรคะ”

การส่งผลก็ส่งผลเจตนาที่เราถวายสงฆ์ เราถวายวัดเพื่อให้การก่อสร้าง เพื่อเป็นสิ่งที่ปฏิบัติ แล้วถ้าเขาไม่ได้ก่อสร้าง ไม่ได้ก่อสร้างมันก็เป็นเจตนา เจตนาที่เขาทำผิดพลาดอย่างใด ถ้าเจตนาผิดพลาดอย่างใด ถ้ามันเป็นธรรมนะ ถ้ามันมีความจำเป็น เขาก็โอนเงินนั้นไปทำผลประโยชน์ในวัดอย่างนั้น มันก็เป็นเรื่องหนึ่งนะ แต่ถ้าเขาไม่ได้โอนเงินวัดไปทำประโยชน์เพื่ออย่างนั้น เขาโอนเงินเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา นั่นก็เป็นกรรมของสัตว์ เป็นกรรมของเขา

ทีนี้พอมันมา พระเขาก็มีทางหลีกเลี่ยงได้ ทางหลีกเลี่ยง อย่างเช่น เราจะมีสิ่งนี้เป็นของของสงฆ์ พอของของสงฆ์เสร็จแล้ว แล้วถ้ามันเป็นพระป่า เป็นพระป่าเขาก็ทำอุปโลกน์ซะ แบ่งตั้งแต่เถระลงมาเลยนะ เอามาแบ่งกัน จากเถระ ถ้าเป็นของสงฆ์ แล้วเงินเป็นของสงฆ์นี้จะแบ่งได้หรือไม่ อันนี้พูดภาษาเรานะ ฉะนั้น สิ่งนั้นมันเป็นที่เจตนา ถ้าเจตนาของเขาอันหนึ่ง

แต่นี่คนถามเพราะเงินของเขา เขาจะให้ตอบเป็นวิทยาศาสตร์เลยว่า ถ้าเงินของเขา เขาไปทำแล้วมันจะเกิดผลอย่างใด

เกิดผลมันอยู่ที่กรรมนะ อย่างเช่นอย่างเวลาพระเรา ถ้าพระทุจริต เวลาฉันอาหารเท่ากับกลืนคำข้าวที่เป็นถ่านแดงๆ แต่ละคำกลืน เวลาบิณฑบาตมา เวลาครูบาอาจารย์ของเราเวลาท่านประพฤติปฏิบัติ ท่านบอกว่า “ตั้งแต่บัดนี้ไป เราฉันอาหารด้วยความไม่เป็นหนี้”

คำว่า “ฉันอาหารด้วยความไม่เป็นหนี้” เราจะบอกว่าถ้าเป็นความเชื่อของเรานะ เราว่านั่นพระอรหันต์นะ ถ้าพระอรหันต์ท่านพูดนะ ท่านบอกว่าท่านฉันอาหารด้วยความไม่เป็นหนี้

แต่ถ้าเราเป็นพระสมมุติ สมมุติสงฆ์ยังเป็นปุถุชนอยู่นี่ ฉันอาหารมีหนี้เวรหนี้กรรมนะ ฉันอาหารด้วยความเป็นหนี้นะ

แต่เวลาเราฟังครูบาอาจารย์ท่านพูดมา เวลาท่านพูดกับพระไง “ตั้งแต่บัดนั้น เราฉันอาหารด้วยความไม่เป็นหนี้”

คำว่า “ฉันอาหารด้วยความไม่เป็นหนี้” เพราะไม่มีหนี้แล้ว คือท่านสะอาดบริสุทธิ์แล้ว คำว่า “สะอาดบริสุทธิ์” นะ ทำลายภวาสวะ ทำลายภพ ทำลายแก่นของหัวใจแล้ว มารหาไม่เจอ นั้นคือความไม่เป็นหนี้ เพราะมารหาไม่เจอ นั่นเวลาฉันอาหารด้วยความไม่เป็นหนี้ สิ่งที่มีเจตนาที่สะอาดบริสุทธิ์อย่างนั้นมันก็จบ

แต่ถ้าเรายังสมมุติสงฆ์กันอยู่ เรายังฉันอาหารที่เป็นหนี้ เรายังมีหนี้เวรหนี้กรรมอยู่ บิณฑบาตมาต้องทำให้ตามธรรมวินัยให้มันสมบูรณ์ขึ้นมาเพื่อให้พ้นจากโทษจากภัย เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ เวลาไปภาวนามันจะได้ภาวนาสะดวก ได้สิ่งใดมาให้เป็นสัมมาทิฏฐิ ให้มันถูกต้องดีงาม แล้วปฏิบัติให้มันเป็นความจริงนั้น

ถ้าพระที่จะปฏิบัติ ที่ว่าเวลาจะประพฤติปฏิบัติให้เรียบง่าย แล้วปฏิบัติให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ เขาห่วงตรงนี้มาก

เราอยู่ในวงปฏิบัติ สมัยที่เราอยู่ป่าใหม่ๆ เวลาออกป่าไป เวลาพระเข้าป่าไป จะมาปลงอาบัติ จะมาอะไรร้อยแปดเลย

ทุกคนอยากได้ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วความทุจริต อกุศล คำว่า “อกุศล” เราเป็นคนทำผิด เวลาจะมาภาวนา กิเลสมันขึ้นแล้ว เอ็งโกหก เอ็งเพิ่งทำสิ่งนั้นมา มันเป็นความวิตกเป็นความกังวล เอาใจไม่อยู่หรอก

ใจของเรานี้ร้ายกาจ ไปทำอะไรมา เราทำเองใช่ไหม เราเป็นคนทำเอง แล้วก็จะมาพุทโธๆๆ “เมื่อกี้เอ็งยังทำผิดอาบัติอย่างนั้นเลย พุทโธอะไร” นี่ความคิดมันจะเข้ามาต่อต้าน

แต่ถ้าเราปลงอาบัติซะ เราทำความผิดด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เสร็จแล้วเราก็ปลงอาบัติแล้ว เวลาไปนั่งนะ เมื่อกี้ก็ผิดมาแล้วแหละ แล้วก็ปลงอาบัติมาแล้วด้วย ตอนนี้เป็นปัจจุบันแล้วแหละ เอาได้หรือไม่ได้ เวลาจะภาวนาไปมันจะมีความคิดมาทั้งนั้นน่ะ

เพราะการภาวนาคือเอาชนะตนเอง ถ้าการเอาชนะตนเอง ถ้าทำได้จริงมันก็เป็นประโยชน์อย่างนั้น นี่พูดถึงว่าเวลาถ้ามันเป็นความสุจริต มันเป็นจริงเป็นจังนะ

เวลาพระปฏิบัติเรา เรื่องนี้เขาพยายามทำให้ถูกต้อง ถ้าเราจะปฏิบัติ เพราะสิ่งนี้มันเป็นข้อเท็จจริงในใจเรา

แต่ถ้าเป็นพระทั่วๆ ไปนะ อาบัติของเขา เขาไม่ถือไม่สา ว่าอย่างนั้นเลย แต่ถ้าเขาไม่ถือไม่สานะ ไอ้คำว่า “ไม่ถือไม่สา” มันเป็นความคิดนะ แต่บาปกรรมมันมีจริงนะ เพราะอะไร

เพราะมันเป็นสัจจะ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใครทำอย่างใดได้อย่างนั้น ใครลงมือได้กระทำแล้วมันต้องมีผลแน่นอน ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว

แต่ก็ย้อนกลับมาอีกแหละ ย้อนกลับมา พวกเราทำดีหมดเลย แล้วไม่เห็นได้ดีเลย

มันมีกรรมเก่ากรรมใหม่นะ ในปัจจุบันนี้เรามีสติมีปัญญา เราก็ตั้งใจมีเจตนาที่ดี เราทำคุณงามความดีของเรา แต่สิ่งที่จะมาเกิดเป็นเรา จริตนิสัย เวรกรรมที่มันทำมา ถ้าคนที่มีวาระที่ดี เวรกรรมที่ดี ความคิดนี้ผ่องแผ้วมากนะ ความคิดบรรเจิดมาก บารมี เชาวน์ปัญญานี้สุดยอด เพราะอะไร

เพราะเวลาเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้ว พระอรหันต์แต่ละประเภท นั่นน่ะเพราะอะไร ก็จากจริตนิสัยนี้ ถ้าคนที่สร้างบุญบารมีมา โอ้โฮ! ปัญญามีปฏิภาณไหวพริบที่ดี เวลาเราเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกันน่ะ อย่างเรานี่อย่างกับควายเลย นู่นก็ไม่รู้ นี่ก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าทำบุญอะไรมา มืดแปดด้าน

นี่ไง มันไม่เท่ากันตรงนี้ไง ถ้ามันไม่เท่ากันตรงนี้ ทำดีต้องได้ดี ทำดีต้องได้ดี ก็ทำเหมือนกัน ทำให้มากกว่าเขาด้วย แต่เรามันอย่างกับควายตัวหนึ่งเลย ควายตู้ขวิดเขาทั่วเลย แล้วก็จะให้ภาวนาดีๆๆ ไม่เห็นดีสักที ไอ้คนที่เขาภาวนาเขาไปถึงไหนแล้ว

ทำดีไม่ได้ดี ทำดีไม่ได้ดี บ่นกันทุกคนน่ะ แต่ไม่ได้ย้อนกลับไปดูว่าสิ่งที่ทำมา ทำมาอย่างใด ทำมาๆ นะ แต่ถ้าคนทำดีมา แบบว่าบัว ๔ เหล่า บัว ๔ เหล่าถ้ามันเป็นความจริงคือมันเป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงอย่างนี้แล้ว

มันก็ย้อนกลับมาคำถาม นี้เราจะบอกว่า การบริจาคสร้างอาคารปฏิบัติธรรมมันเป็นเจตนาที่ดี ทุกคนก็หวังส่งเสริมพระพุทธศาสนา การส่งเสริมพระพุทธศาสนา ทำแล้วก็แล้วกันไป

ถ้าทำแล้วนะ โดยเจตนาที่ดีของเรา ถ้าที่นั่นเขาเป็นสัมมาทิฏฐิ เขาเพื่อประโยชน์กับศาสนา เราจะมีใจเป็นกุศลทำกับเขาแล้วก็จบ ไม่ใช่ทำกับเขาแล้วก็จะไปติดตามเขาเลย จะไปเอาปปง.ไปตรวจสอบเขาอีกต่างหาก โอ๋ย! วุ่นวายเลย อันนั้นทำบุญแล้วเราเดือดร้อนน่ะ

เราจะบอกว่า ทำบุญไปแล้วก็ถือว่าให้ทำแล้ว สิ่งที่มันเกิดขึ้นในวัด ในพระที่เขาว่าจะนำสร้างแล้วเขามีปัญหากัน นั้นมันเป็นเรื่องสังคมของสงฆ์เขา สังคมของเขา ถ้าสังคมของเขาเป็นอย่างนั้น สัปปายะ ๔ ถ้าสังคมเป็นอย่างนั้นก็เป็นแบบนั้น

แล้วเวลาครูบาอาจารย์ของเราเวลาท่านทำเป็นตัวอย่าง ท่านทำท่านเป็นตัวอย่างเลยนะ

หลวงตาท่านสอนประจำ สอนผู้นำพระ คือต้องการให้พระคิดเป็น ให้พระรู้จักหัดคิด หัดคิดหัดพิจารณา สิ่งใดถูกต้องหรือสิ่งใดไม่สมควร

เวลาอยู่กับท่าน ท่านจะพูดประจำ เวลาพระคิดได้เองแล้วมารายงานท่าน ท่านชอบ

แต่บางทีพระคิดไม่เป็น แล้วท่านพยายามลงปฏัก ทั้งสั่งทั้งสอน ทั้งจี้ทั้งไช มันยังไม่ทำ มันยังทำกันไม่ได้ ถ้ามันยังไม่ทำ ยังทำกันไม่ได้ มันไม่มีเชาวน์ปัญญา

แต่เวลาท่านชอบมาก ท่านดีใจมาก ถ้าพระรู้จักคิด รู้จักคิด รู้จักมีแนวทางขึ้นมาปรึกษาท่าน นั่นน่ะท่านต้องการอย่างนั้น ถ้าต้องการอย่างนั้น

ในสังคมสงฆ์ ในสังคมที่เป็นผู้นำที่ดี ผู้นำที่เป็นแบบอย่าง เราก็จะได้ประโยชน์ แต่ถ้ามันเป็นสังคมสงฆ์ที่เราเข้าไปเริ่มต้นนะ เริ่มต้นดี ท่ามกลางมันไม่ดี ยิ่งบั้นปลายยิ่งแย่ แล้วเราก็ใช้สติปัญญาของเราพิจารณาของเราเอง

ถ้าเริ่มต้นบริสุทธิ์ ท่ามกลางและที่สุด สุดยอด เริ่มต้นเป็นการดำริที่ดี ท่ามกลางทำไม่ได้ ที่สุด เรายิ่งทำไม่ได้ เราถึงจะต้องใช้ปัญญาใคร่ครวญ แล้วพยายามอตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

ถ้าที่ไหนพึ่งได้ เราก็อยากพึ่ง ถ้าที่ไหนพึ่งไม่ได้ เราก็ต้องพยายามพึ่งตัวเราเอง พึ่งสติ พึ่งปัญญา หาที่ประพฤติปฏิบัติของเรา ขัดข้องสิ่งใด แสวงหาครูบาอาจารย์แก้ไขเอา

เรื่องที่ผ่านมาแล้วให้มันผ่านไป ให้มันผ่านไป สิ่งที่ผ่านไปแล้วให้มันผ่านไป

เราถึงบอกว่า การแก้ ตั้งแต่ข้อต้นเลย มันเป็นการเล่นลิ้น เราว่าเป็นการเล่นลิ้น เป็นการเอาแพ้เอาชนะ แต่ถ้ามันจะแก้ เราแก้ที่ใจเรา

นี่ก็เหมือนกัน เราไม่เล่นลิ้นกับใคร ลิ้นสองแฉก มันพูดได้ทั้งนั้นน่ะ มันจะเอาดีใส่ตัว เวลามันพูดได้ทั้งนั้น ผิดถูกไม่รู้ ผิดถูกมันเป็นเรื่องความจริงนะ เป็นสัจจะนะ กรรมมันให้ผล ให้ผลจริงๆ แต่ไม่มีสำนึก

ถ้ามีสำนึกแล้ว จะทำสิ่งใด ไอ้นี่มันแค่วัตถุเรื่องภายนอกนะ มันยังไม่ได้เรื่องภาวนาเลย เวลาภาวนามันต้องเอาชนะตนเอง เอาชนะตนเองได้ ชนะกิเลส แล้วชนะกิเลสได้แล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องข้างนอก ไร้สาระมาก

เราถึงพูดประจำ คุยกันนักคุยกันหนา มีคุณธรรมๆ

มีคุณธรรมไปหาผลประโยชน์อะไรกัน มีคุณธรรมประกาศตนทำไม มีคุณธรรมน่ะ เพราะธรรมมันเหนือโลก เหนือเงินเหนือทอง เหนือโลกธรรม ๘ เหนือชื่อเสียง เหนือการยอมรับ เหนือหมดน่ะ

เราถึงบอกว่า ถ้ามีธรรมจริงนะ ดูหลวงปู่ลีสิ ตอนนี้เขามาบอก ไม่ออกจากห้องเลย นี่ไง ครูบาอาจารย์ของเราท่านไม่ออกมายุ่งเรื่องของโลกหรอก ขยะ ขี้ทั้งนั้น อยู่ในใจเราสงบกว่า ดีกว่าเยอะเลย

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลาพูดก็พูดกันไป พอพูดเสร็จแล้วยังแสวงหาผลประโยชน์ ถ้าแสวงหาผลประโยชน์ เรารับไม่ได้ เพราะเราถือว่าสิ่งนั้นมันเป็นสมบัติของโลก ธรรมะมีคุณค่ากว่านั้น

ถ้ามึงประกาศว่ามีธรรมแล้วเอ็งไปกินของอย่างนั้น ไร้สาระมาก ไร้สาระสุดๆ เราถึงบอกว่าเป็นการเล่นลิ้น ลิ้นสองแฉก พูดเพื่อประโยชน์กับตน แต่ถ้าเป็นจริงนะ มันพิสูจน์ได้ พิสูจน์ได้จากใจเรานี่แหละ ถ้าเป็นใจของเรา เห็นไหม

ฉะนั้น สิ่งที่ทำมาแล้ว มันเป็นเรื่องของสังคม ย้อนกลับมาเอาหัวใจของเรา เราจะประพฤติปฏิบัติของเรา ธรรมะมีอยู่จริง ศีล สมาธิ ปัญญา สัจธรรมมีอยู่จริง เราทำได้จริง มันจะเป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกในหัวใจของเรา เอวัง